ลิเวอร์พูล ยังคงรักษาสถานะลุ้นแชมป์พรีเมียร์ ลีก ไว้ได้อย่างมั่นคงหลังบุกไปตามตีเสมอแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2-2 เมื่อคืนที่ผ่านมา (อาทิตย์ที่ 10 เมษายน 2565) เพราะถ้าเกมนี้พวกเขาแพ้ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม ทัพเรือใบสีฟ้าก็จะขยับหนีออกไปเป็น 4 แต้ม แต่เมื่อผลออกมาเจ๊ากันแบบนี้ก็ทำให้หงส์แดงยังคงตามหลังแชมป์เก่าอยู่ 1 คะแนนเท่าเดิม 

           เกมนี้แมนฯ ซิตี้ ยิงประตูขึ้นนำ 1-0 ได้ตั้งแต่ต้นเกมจากเควิน เดอ บรอยน์ แต่นาทีที่ 13 ลิเวอร์พูล มาไล่ตีเสมอ 1-1 คืนได้สำเร็จจาก ดิโอโก้ โชต้า และกลายเป็นประตูที่ 15 ในพรีเมียร์ ลีก ฤดูกาลนี้ของเจ้าตัว กระทั่ง นาที 36 ทัพเรือใบสีฟ้าขึ้นนำอีกครั้ง 2-1 จากกาเบรียล เชซุส ทำให้จบครึ่งแรก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขึ้นนำ ลิเวอร์พูล 2-1 แต่เปิดฉากครึ่งหลังเพียง 50 วินาที 'หงส์แดง' ตามตีเสมอ 2-2 โดยโมฮัมเหม็ด ซาลาห์ แทงบอลเข้าเขตโทษข้ามไปเสาไกลถึง ซาดิโอ มาเน่ ที่หลุดกับดักล้ำหน้าสอดมาซัดสวนตัว เอแดร์ซอน ตุงตาข่าย

           ทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า พลาดโอกาสจะแจ้งในแดนสามหรือพื้นที่สุดท้ายหน้าปากประตูอยู่หลายจังหวะในครึ่งหลัง โดยเฉพาะในช่วงทดเจ็บที่ ริยาด มาห์เรซ พลาดโอกาสทองที่จะทำประตูชัย จากจังหวะที่ เดอ บรอยน์ แหวกหนีขึ้นมาจ่ายทแยงออกขวาถึงมาห์เรซ ดึงหนีแนวรับลิเวอร์พูล ก่อนยกข้ามหัวอลิสซอน เบ็คเกอร์ แต่ข้ามคานเหลือเชื่อ ส่วนทางด้านกาเบรียล เชซุส ก็ยิงเข้าข้างตาข่ายแทนที่จะจ่ายบอลให้เดอ บรอยน์ ที่สามารถจบสกอร์ได้ง่ายกว่า นอกจากนี้ในนาทีที่ 63 แมนฯ ซิตี้ ยังมีโอกาสขึ้นนำอีกครั้งจากจังหวะที่เดอ บรอยน์ แทงบอลออกขวาให้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง หลุดเดี่ยวเข้าไปยิงตุงตาข่าย แต่น่าเสียดายที่โดน VAR จับล้ำหน้าไปซะก่อน

          ดาวเตะชาวอังกฤษยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญอีกครั้งหลังช่วงพักครึ่ง เมื่ออดีตดาวเตะลิเวอร์พูลรายนี้เป็นส่วนหนึ่งของการโต้กลับของแมนฯ ซิตี้ และดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะมีโอกาสทำประตูได้หลังการจ่ายบอลอย่างชาญฉลาดจากเดอ บรอยน์ แต่เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ก้าวเข้ามาจัดการกับสถานการณ์ที่อันตรายดังกล่าวได้อย่างเฉียบขาด และวิธีที่เขารับมือกับสเตอร์ลิ่งนั้นค่อนข้างพิเศษ เพราะฟาน ไดจ์ค สามารถวิ่งไล่ปีกของเรือใบสีฟ้าได้ทันท่วงทีและสามารถแย่งบอลกลับมาให้ทีมได้ชนิดที่สเตอร์ลิ่งได้แต่มองตาปริบๆ